วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ความสำคัญอาหารมื้อเช้า

การไม่กินอาหารเช้า
    เป็นพื้นฐานที่ทำให้เกิด การเจ็บป่วยที่เรามองข้ามไป คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่เคยเคยปฏิบัติอยู่เป็นประจำ ไม่เห็นเป็นอะไรเลย
อาหารมื้อเช้า
    เป็นอาหารที่สำคัญที่สุด ที่ร่างกายต้องการสารอาหารในช่วงเวลา 07.00 - 09.00 น.ระหว่างเวลานี้สมองและใบหน้าของคนเราต้องการเกล็ดและออกซิเจน เป็นอาหารบำรุงไปเลี้ยงสมอง ถ้าไม่กินข้าวเช้า ก็จะไม่มีเลือดมารับออกซิเจนส่งขึ้นไปเลี้ยงสมอง เพราะสมองต้องการกรดอะมิโนไปบำรุงเซลล์สมองรวมถึงวิตามินบี 1 และบี 12 มื้อเช้าถ้าไม่มีเวาจริงๆ ก็ควรกิน สูตรโยเกิร์ต+นมสด+น้ำผึ้งมะนาว และกล้วย 1 ลูก

ไม่ขับถ่ายตอนเช้า จะเกิดอะไรขึ้น 
    ในช่วงเวลา 05.00 - 07.00 น. เป็นช่วงเวลาของลำไส้ใหญ่ ถ้ายังไม่ยอมขับถ่ายอุจจาระแล้วปล่อยเวลาเลยมาถึง 07.00 - 09.00 น.ซึ่งเป็นเวลาของกระเพาะอาหาร แล้วไม่ยอมกินข้าวเช้าอีก อุจจาระจากลำไส้ใหญ่ที่ไม่ขับถ่ายออก จะถูกบีบตัวขึ้นมาจากลำไส้ใหญ่ ผ่านลำไส้เล็กมาที่กระเพาะอาหาร ก็จะถูกดูดซึมซ้ำอีกครั้งในอุจจาระเก่ามีแก๊สที่เสียแล้ว เกิดจากการบูดเน่าโดยอุณหภูมิของร่างกายซึ่งมีความร้อน 37 องศาตลอดเวลา ไม่เหมือนกับตู้เย็นที่เก็บได้นานกว่า เพราะฉะนั้นแก๊สพิษเหล่านี้จะถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือด เลือดจึงไม่สะอาด ถ้าเลือดไม่สะอาดไหลไปเลี้ยงทุกส่วนของร่างกาย ไหลผ่านสมอง หัวใจ ปอด ม้าม ตับ ผิวหนังก็จะได้รับสารพิษจากแก๊สไปด้วย
วิธีแก้ 
    พยายามขับถ่ายระหว่างเวลา 05.00 - 07.00 น.ถ้าไม่ขับถ่าย ให้กินขมิ้นชันเป็นประจำ เพื่อบริหารลำไส้ใหญ่ ควรกินข้าวเช้าทุกวันระหว่างเวลา 07.00 - 09.00 น.


ระบบดูดซึมเสีย
    เมื่อระบบดูดซึมเสีย ลำไส้จะดูดซึมสารอาหารที่เป็นประโยชน์ไปสร้างเม็ดเลือดไม่ได้กินยาหรือวิตามินก็ไม่ดูดซึม เพราะผ่านชั้นไขมันที่ผนังลำไส้ไปไม่ได้ หรือผ่านไปได้น้อย ต่างกับการให้น้ำเกลือโดยการฉีดเข้าเส้นเลือดโดยไม่ต้องผ่านระบบดูดซึม แต่ใครจะให้น้ำเกลือได้ทุกวัน....คงไม่มี
เมื่อระบบดูดซึมไม่ได้ พวกสารอาหารและโปรตีนจะถูกส่งไปให้ไตขับทิ้ง ไตก็ต้องทำงานหนักและอ่อนล้าเป็นธรรมดา ผลที่ตามมาคือ การเจ็บป่วยและเกิดโรคต่างๆ 
    ทุกๆ คนที่เคยกินอาหารผัดน้ำมันหรือของทอดน้ำมันบ่อยๆ หรือทุกวันควรจะต้องล้างลำไส้เพื่อให้ระบบดูดซึมทำงานได้ดีขึ้น การไม่ล้างลำไส้ ก็เปรียบเสมือนการกินข้าวแล้วไม่ล้างจาน มื้อต่อไปก็ใช้จานใบเก่านั้นแหละไปใส่ข้าวกินใหม่

สูตรล้างระบบดูดซึม

  1. มะละกอดิบต้มน้ำชงชา (ชามะละกอ)

วิธีทำ ใช้มะละกอดิบปอกเปลือกมาหั่นแบบชิ้นฟักใส่หม้อเติมน้ำต้มให้เดือดแล้วยกลง รินเอาแต่น้ำมาชงชา ใช้ชาจีนหรือชาเขียวใบหม่อนก็ได้ ไม่ควรแช่ชาเกิน 5 นาที แล้วกรองชาออก สูตรนี้จะช่วยล้างไขมันที่เกาะลำไส้ได้ดี ควรดื่มเป็นประจำทุกๆ วัน เพราะเรากินอาหารผัดน้ำมันมาหลายปี
ประโยชน์ เมื่อดื่มชามะละกอ จะเป็นการล้างลำไส้โดยไม่ต้องสวนทวาร ช่วยล้างระบบดูดซึม คือ ล้างคราบไขมันที่ผนังลำไส้ อันเนื่องมาจากการกินอาหารผัดน้ำมันเป็นประจำ คราบไขมันจะเกาะตัวที่ผนังลำไส้เป็นกาวเหนียว จึงเกิดการขัดขวางการดูดซึมสารอาหาร และวิตามินที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เมื่อระบบดูดซึมไม่ดี หรือดูดซึมไม่ได้ เวลากินอาหารก็จะได้แค่อิ่ม แต่ไม่ได้สารอาหาร เมื่อเป็นอย่างนี้นานวันเข้า ความเจ็บป่วยก็จะเข้ามาเยือน เมื่อร่างกายปกติ ไม่เจ็บป่วย ก็ควรล้างลำไส้ไว้บ้าง เพื่อล้างคราบน้ำมันเก่าที่เคยกินอาหารผัดน้ำมันมานานหลายปี  
  2. โยเกิร์ต + นมสด + น้ำผึ้ง + มะนาว

วิธีทำ ใช้นมสด 1 กล่องเทใส่แก้ว เติมโยเกิร์ตรสธรรมชาติครึ่งถ้วยของโยเกิร์ต เติมน้ำผึ้ง และมะนาวชิมรสชาติตามชอบใจ แล้วตั้งทิ้งไว้สักพักหนึ่ง เพื่อให้จุลินทรีย์ขยายตัวแล้วกินความหวานของน้ำผึ้งและช่วยย่อยไขมันของนมก่อน แล้วจึงค่อยดื่ม จะช่วยล้างลำไส้เล็กได้ดี (ถ้าดื่มเวลา 13.00 - 15.00 น.)จะได้ผลดีมาก เพราะตรงกับเวลาของลำไส้เล็ก

  3. รากหญ้าคา + เก๋ากี๊ + เก๊กฮวย + ดอกมะลิ + ดอกกุหลาบ  +ตะไคร้หอม
ต้มรวมกันกินแต่น้ำ เป็นสูตรล้างลำไส้ได้ดีที่สุด
  
  4. บอระเพ็ด ยาว 1 เกียก (1 คืบของคนๆ นั้น)เติมน้ำ 2 แก้วแล้วต้ม กรองน้ำมาดื่มก็ช่วยล้างลำไส้ได้
  5. ใบโหระพาปั่นกับสัปปะรด ช่วยสร้างเม็ดเลือด
  6. ใบเตย + มะนาว ต้มรวมกับน้ำใช้ดื่ม ช่วยสร้างเม็ดเลือด 
    7. ใบยอ นำเอาใบมาย่างไฟ แล้วยำกินช่วยบำรุงเลือดได้ดี
  8. ใบหูเสือ กินแล้วสามารถช่วยขับถ่ายพยาธิได้
  9. ใบขี้เหล็ก ช่วยทำให้ระบบขับถ่ายดี และช่วยให้นอนหลับสนิททั้งคืน
 10. มันเทศ สามารถลดความอ้วนได้ อุ้มไขมันไปทิ้ง ลดความชื้นของม้ามและซุปมันเทศลดอาการตัวบวม
 11. ขมิ้นชัน มันเทศ เป็นอาหารลดความชื้นของม้าม และปอด
 12. ขิงสด แก้เบื่ออาหาร ช่วยย่อยอาหาร ใช้คั่นน้ำสดๆ มาผสมน้ำกระชายจะย่อยอาหารในผู้สูงวัย.
 13. พริกหอม ช่วยให้เลือดไหลเวียนดี บำรุงเลือด แก้หูตาฝ้าฟาง ละลายไขมัน ลดเบาหวาน
 14. บอระเพ็ด ยาว 1 เกียก ทุบหรือหั่น เติมน้ำ 2 แก้วแล้วต้มดื่ม 
 15. ผักชี ต้านอนุมูลอิสระ แก้ไขสบัดร้อนสะบัดหนาว ใช้กินสดๆ หรือปั่นผสมเครื่องดื่มได้ 
 16. มะม่วงกวนตากแห้ง ดื่มน้ำแล้วจะได้ เอสโตเจน สูงกว่ามะม่วงถึงง 4 เท่าตัว
 17. น้ำมะพร้าว กินเฉพาะน้ำมีเอสโตเจน ส่วนเนื้อมะพร้าว มีเทสโทสเตอโรน(มะพร้าวเผาไม่มีเอสโตรเจน)


เคล็ดลับการดูแลรักษาตนเองเมื่อต้องนอนดึก

    1. กินอาหารที่อุดมด้วยวิตามินบีและซี เพราะเวลาอดนอนระดับฮอร์โมนจากต่อมไพเนียลปั่นป่วน ทำให้เกิดความเครียดแบบลึกๆ จึงต้องแก้ด้วยวิตามินคลายเครียดประเภทบีและซีปริมาณมาก ดังนั้นในระยะนี้ต้องกินข้าวกล้อง กินผัก ผลไม้ กินน้ำผลไม้คั้นสด น้ำส้มคั้นสดๆ หากกินอาหารประเภทดังกล่าวไม่ได้ ให้ใช้วิตามินบี 100 วันละ 1 เม็ด และกินวิตามินซี 1,000 ม.ก. วันละ 2 เม็ด หลังอาหารเช้า

    2. ถึงกลางคืนจำเป็นต้องเติมพลังงานให้กับตัวเอง เพราะส่วนอาหารที่เรากินเข้าไปจะใช้ได้ประมาณ 6 ช.ม.เท่านั้น หากกินอาหารเย็น 6 โมง ถึงเที่ยงคืนพลังงานก็หมดแล้ว จะต้องเติมอาหารที่ให้พลังงานเข้าไป ทั้งนี้ ควรเป็นอาหารที่ย่อยง่ายประเภทข้าวต้ม โจ๊ก น้ำข้าว ธัญพืช จะดีกว่าอาหารที่มีไขมันสูงอย่างนมวัว หรือเครื่องดื่มประเภทโกโก้ หรือมอลต์ เนื่องจากเวลาที่จะนอนมีน้อยอยู่แล้วไม่ควรกวนกระเพาะให้ย่อยอะไรที่ย่อยยาก เพราะจะทำให้หลับไม่สนิทดีนัก และมีอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรตที่ทำให้หลับง่ายกว่า เช่น ข้าวเหนียว กล้วย หากเลือกกินยามดึกได้จะทำให้นอนเร็วกว่า

    3. ควรนอนทันทีหลังจากปั่นๆๆๆ Amazon จนหมดแรง ไม่ควรเสียเวลาออกไปหาข้าวต้มรอบดึกกินนอกบ้านเพราะจะยิ่งมีเวลานอนน้อย และควรระลึกไว้ว่าน่าจะมีเวลานอนติดกันประมาณ 4 ชั่วโมง สุขภาพจึงจะไม่เสื่อมทรุดในระยะนี้ ถ้าต้องนอนตี 3 ก็แปลว่าควรจะตื่นตอน 7 โมงเช้าจึงจะดี

    4. ไม่ควรแก้ง่วงด้วยการดื่มกาแฟ หรือชา เพราะกาแฟมีฤทธิ์ 6-8 ชั่วโมง หากกินกาแฟตอน 4 ทุ่มก็แปลว่าจะหลับได้เอาตอนตี 4 ซึ่งจะทำให้เวลาพักผ่อนไม่พอ หากง่วงก็ควรงีบหลับก่อนแล้วค่อยตื่นมาดูหนังสือหรือดูโทรทัศน์เอาตอนดึก

    5. ตื่นเช้าหลังจากอดนอน ควรกระตุ้นตนเองให้กระปรี้กระเปร่าด้วยวิตามินดังที่ได้กล่าวแล้ว หรือจะใช้โสมกินร่วมด้วยก็ดีกว่าดื่มกาแฟ เพราะการใช้วิตามินกับโสมจะทำให้สมองปลอดโปร่งกว่ากินกาแฟ

อยากให้เพื่อนๆมีความสุขกับการใช้เงิน ที่ตรากตรำหากันมา ลองทำดูนะคะ อาจช่วยได้ไม่มากก็น้อย ขอบคุณข้อมูล แนะนำจาก พ.ญ.ลลิตา ธีระสิริ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น